รู้จักกับ “แก๊สน้ำตา” วันที่ 21/10/2010 14:29:59 รู้จักกับ
“แก๊สน้ำตา” “แก๊สน้ำตา” หรือในภาษาอังกฤษ เรียกว่า“tear gas” เป็นคำรวม ๆ ที่หมายถึง สารเคมีที่ออกฤทธิ์ให้เกิดการระคายเคืองของเยื่อบุตา จนกระทั่งมีน้ำตาไหลออกมา แต่ความจริงแล้ว สามารถระคายเคืองต่อเยื่อบุต่าง ๆ ทั้งที่ตา ทางเดินหายใจ ทางเดินอาหาร รวมทั้งผิวหนังด้วยโดยส่วนใหญ่ การใช้แก๊สน้ำตา มีจุดประสงค์เพื่อสลายการชุมนุมของฝูงชนจำนวนมาก อย่างที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศของเราขณะนี้ เรามาทำความรู้จักกันหน่อยนะครับ ชนิดของแก๊สน้ำตา มีสารเคมีหลายอย่าง ที่ถูกใช้เพื่อจุดประสงค์ดังกล่าวข้างต้น ก็เรียกว่าเป็น แก๊สน้ำตา ทั้งนั้น ซึ่งสารเคมีที่มีการใช้กันบ่อย ได้แก่
1- chloroacetophenone (CN)
2-chlorobenzalmalononitrile (CS)
• dibenzoxazepine (CR)
• oleoresin capsicum (OC or ‘pepper spray’)
• pelargonic acid vallinylamide (PAV)
ฤทธิ์ของแก๊สน้ำตา
แก๊สน้ำตามีผลระคายเคืองต่ออวัยวะต่าง ๆ คือ ตา เยื่อบุจมูกและทางเดินหายใจ เยื่อบุช่องปาก และผิวหนัง โดยทำให้เกิดอาการดังนี้
• ตา : ทำให้มีน้ำตาไหล แสบตา หนังตาบวม เยื่อบุตาบวม ลืมตาไม่ขึ้น ต้องกระพริบตาตลอด รวมทั้งอาจทำให้ตามองไม่เห็น (ตาบอดชั่วคราว) และอาจทำให้เกิดแผลที่กระจกตาได้ หากถูกกระแทกโดยตรง หรืออาจมีเลือดออกในลูกตา หรือติดเชื้อที่ตาในภายหลังได้
• จมูก : ทำให้แสบจมูก และมีน้ำมูกไหล
• ปาก และทางเดินอาหาร : ทำให้แสบปาก น้ำลายไหล และอาจมีคลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเสียได้ • ทางเดินหายใจ : ทำให้มีอาการไอ เจ็บคอ จาม มีเสมหะ แน่นหน้าอก หายใจลำบาก อาจมีหลอดลมตีบจนหายใจไม่ออก โดยเฉพาะในคนไข้ที่เป็นโรคหอบหืด หรือถุงลมโป่งพองอยู่ก่อน (จึงต้องระวังให้มากในคนกลุ่มนี้)และอาจมีปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) ได้ใน 12-24 ชั่วโมง หากได้รับในปริมาณที่มาก
• ผิวหนัง : หากถูกผิวหนังจะทำให้เกิดอาการแสบ และบวมแดง หากสัมผัสนาน อาจเหมือนถูกไฟไหม้ นอกจากนี้อาจมีผิวหนังอักเสบจากการแพ้ (contact dermatitis) ได้ ซึ่งทำให้เกิดผื่นคัน โดยเกิดหลังจากสัมผัสไปแล้ว 72 ชั่วโมง
• อาการอื่น ๆ ที่อาจพบได้ : อาการปวดศีรษะ ง่วงซึม, เจ็บหน้าอก ความดันเลือดตก เป็นต้น การออกฤทธิ์ของแก๊สน้ำตานี้ ออกฤทธิ์ในทันทีทันใดที่สัมผัส (0-30 วินาที) และจะคงอยู่นานประมาณ 10-30 นาทีหลังจากพ้นการสัมผัสนั้น แต่อาจมีอาการอยู่นานได้ถึง 24 ชั่วโมงขึ้นไป (บางทีนานถึง 3 วัน) และอาการจะรุนแรง และเป็นอันตรายมากขึ้น หากได้รับในปริมาณที่เข้มข้นมากหรืออยู่ในบริเวณที่มิดชิด ไม่มีการถ่ายเทของอากาศ
การรักษา
การปฏิบัติที่สำคัญอันดับแรก คือต้องหยุดสัมผัสสารเคมีให้ได้ก่อน อาการต่าง ๆ ก็จะดีขึ้นเองโดยที่ไม่ต้องให้การรักษาพิเศษอะไร ซึ่งในขั้นต้นได้แก่
• การหลีกเลี่ยงและออกจากสถานที่ที่มีแก๊สน้ำตานั้น ไปสู่บริเวณที่มีอากาศถ่ายเทที่สะดวก และมีลมพัดให้สารเคมีนั้นกระจายออกไป
• ถอดเสื้อผ้าที่ปนเปื้อนสารเคมีออก และใส่ไว้ในถุงที่ปิดมิดชิด (2 ชั้นยิ่งดี) โดยพยายามอย่าให้เสื้อผ้าเปียก เพราะสารเคมีจะละลายติดตามร่างกายได้ คำแนะนำสำหรับบุคลากรทางการแพทย์
• ต้องสวมถุงมือ และใส่เสื้อคลุมป้องกัน รวมทั้งแว่นตา ระหว่างให้การช่วยเหลือผู้ป่วย
• อยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก และมีลมพัด
• อาการทางตา : ส่วนใหญ่ น้ำตาที่ไหลอยู่นั้นจะช่วยขับเอาสารเคมีออกจากตาไปได้ ถ้าไม่หาย มีคำแนะนำ คือ
• ผิวหนัง : ถ้ามีอาการแสบ อาจล้างด้วยน้ำ และสบู่มาก ๆ โดยเฉพาะตรงข้อพับต้องดูแลเป็นพิเศษ, ถ้าผิวหนังไหม้ ก็ให้การดูแลเหมือนแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกโดยทั่วไป ถ้ามีการแพ้ ก็ให้ยา topical steroid ได้, ถ้ามีสารเคมีติดที่ผม การสระผม อาจทำให้แสบหนังศีรษะได้
• อาการของทางเดินหายใจ : ถ้ามีอาการมาก ควรให้นอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล และให้การรักษาด้วยการให้ออกซิเจน หรือให้ยาขยายหลอดลม หากมีอาการของหลอดลมตีบ ถ้าเป็นมากจนมีการหายใจล้มเหลว อาจต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
• สำหรับเสื้อผ้า สามารถซักด้วยเครื่องซักผ้า ด้วยผงซักฟอกธรรมดาได้ โดยใช้น้ำเย็นซัก ห้ามใช้น้ำร้อน เนื่องจากอาจทำให้สารเคมีระเหยและเป็นอันตรายต่อผู้สัมผัสได้
สรุป
แม้ว่าแก๊สน้ำตา จะไม่มีอันตรายมาก แต่อาจเป็นอันตรายแก่ผู้ที่เป็นโรคหอบหืด หรือถุงลมโป่งพองอยู่เดิมได้มาก นอกจากนี้ยังมีรายงานการเสียชีวิตจากการใช้แก๊สน้ำตาเนื่องจากการมีปอดบวมน้ำ เลือดออกในปอด ปอดอักเสบ หรือการขาดอากาศหายใจ (โดยเฉพาะหากอยู่ในบริเวณที่ปิดมิดชิด ไม่มีอากาศถ่ายเท) หรืออาจเสียชีวิตจากการที่เป็นโรคหัวใจอยู่เดิม, การศึกษาในหลอดทดลองก็พบว่า แก๊สน้ำตา อาจเป็นพิษต่อยีน (genotoxic) และอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของยีน (mutagenic) แม้ว่ายังไม่ทราบผลที่ชัดเจนของมันก็ตาม อย่างไรก็ตามในปี 2512 มีการลงมติจาก 80 ประเทศให้ถือว่า แก๊สน้ำตา เป็นอาวุธเคมีชนิดหนึ่ง ที่ถูกห้ามใช้ในสงคราม ตามสนธิสัญญาเจนีวา (Geneva Protocol) แต่ก็ยังมีการใช้ในการสลายการชุมนุมของฝูงชนในหลาย ๆ ประเทศ จึงควรให้ความสำคัญ และมีการพิจารณาการใช้อย่างรอบคอบ เพื่อจะได้ไม่ทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้คนจนเกินไป
โดย นพ.นพวัชร์ สมานคติวัฒน์
เอกสารอ้างอิง
1. Brief report: exposure to tear gas from a theft-deterrent device on a safe--Wisconsin, December 2003. MMWR Morb Mortal Wkly Rep 2004; 53:176-177.
2. Blain PG. Tear gases and irritant incapacitants. 1-chloroacetophenone, 2-chlorobenzylidene malononitrile and dibenz[b,f]-1,4-oxazepine. Toxicol Rev 2003; 22:103-110.
3. Folb PI, Talmud J. Tear gas--its toxicology and suggestions for management of its acute effects in man. S Afr Med J 1989; 76:295.
4. Fraunfelder FT. Is CS gas dangerous? Current evidence suggests not but unanswered questions remain. BMJ 2000; 320:458-459.
5. Hu H, Fine J, Epstein P, Kelsey K, Reynolds P, Walker B. Tear gas--harassing agent or toxic chemical weapon? JAMA 1989; 262:660-663.
6. Weir E. The health impact of crowd-control agents. CMAJ 2001; 164:1889-1890. 7. Worthington E, Nee PA. CS exposure--clinical effects and management. J Accid Emerg Med 1999; 16:168-170. |
ไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009 วันที่ 28/10/2010 11:54:22 บทความเรื่อง : ฆาตกรเงียบ วันที่ 21/10/2010 14:28:00 ความรู้ในเรื่องเลือดส่วนประกอบของเลือด และการบริจาค วันที่ 29/11/2008 13:09:39 7 อาการปวดที่ไม่ควรมองข้าม วันที่ 29/11/2008 13:17:15 การรักษากระดูกหักด้วยการผ่าตัดดามโลหะ วันที่ 04/12/2008 14:35:07 เมื่อเจ้าตัวเล็กกระดูกหัก วันที่ 04/12/2008 14:34:37 การต่อนิ้วหัวแม่มือ วันที่ 04/12/2008 14:35:37 แผลเป็นและเป็นแผล วันที่ 04/12/2008 14:36:31 บาดแผล เรื่องธรรมดาที่ไม่ธรรมดา วันที่ 02/12/2008 09:58:34 ป้องกัน ดวงตา จากอุบัติเหตุรถยนต์ วันที่ 04/12/2008 14:33:39 โปรดระวังอันตรายจาก คลอโรฟอร์ม วันที่ 04/12/2008 14:37:49 นอนไม่หลับทำงัยดี วันที่ 04/12/2008 14:32:25 การรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม วันที่ 00/00/0000 00:00:00 กลัวการผ่าตัดอ่านทางนี้ วันที่ 00/00/0000 00:00:00 ปลูกถ่ายฟัน.........ทางเลือกของคนฟันผุ วันที่ 04/12/2008 14:31:44 ตรวจมะเร็งได้จากการตรวจเลือด วันที่ 04/12/2008 14:31:11 ปวดต้นคอทำอย่างไร วันที่ 04/12/2008 14:30:24 มันมากับรองเท้า วันที่ 04/12/2008 14:29:21 ตู้ขายน้ำดื่มอัตโนมัติแหล่งปนเปื้อนที่น่ากลัว วันที่ 04/12/2008 14:29:42 คนไทยเป็นพาหะธาลัสซีเมีย วันที่ 04/12/2008 14:28:50 |