สโตร๊ค (Stroke) เป็นสาเหตุการตายอันดับ 3 ในสหรัฐอเมริกา
และคาดว่าปัจจุบันจะมีอุบัติการณ์ของสโตร๊คปีละ 7 แสนครั้ง ที่รอดชีวิตจากสโตร๊คได้มีสูงถึง 44 ล้านคน
จึงเป็นภาระทางเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งสมาคมโรคหัวใจอเมริกันคาดว่าตกราว 51,000 ล้านเหรียญ (เมื่อปี พ.ศ.2542) แม้ว่าผู้ป่วยบางรายจะได้ประโยชน์จากการให้ยาละลายลิ่มเลือด หรือการรักษาใหม่ๆ ที่ยังอยู่ในระหว่างการทดลองก็ตาม
การเกิดสโตร๊คเฉียบพลันทันใด อาจเปลี่ยนวิถีชีวิตของคนๆ นั้นในทันที เพราะจากที่เคยวาดฝันไว้ว่า จะเกษียณอายุจากงานประจำไปใช้ชีวิตตักตวงความสุขอีกรูปแบหนึ่ง ก็กลายเป็นว่าอาจเป็นคนพิกลพิการที่ต้องพึ่งพาสังคมยิ่งกว่าเก่า ที่ร้ายที่สุดคือ อาจนำมาซึ่ง ความโศกเศร้าของครอบครัวหากคนๆ นั้นเสียชีวิตจากสโตร๊ค
มีข่าวดีที่ว่าในบางประเทศอย่างสหรัฐอเมริกานั้น มีผู้เสียชีวิตจากสโตร๊คน้อยลง ในช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการที่แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคได้เร็วขึ้น หรือเป็นเพราะปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ได้รับการแก้ไข ผลจึงปรากฏว่าร้อยละ 10 ของคนที่เป็นสโตร๊ค สามารถฟื้นสภาพกลับเป็นคนปกติ และอีกร้อยละ 70 นั้นมีอาการดีขึ้นจนไม่ต้องเป็นภาระแก่ใคร
สมองของคนเรามีเซลล์ประสาทจำนวน 100,000 ล้านเซลล์ และมีสายสนกลไก ในการเชื่อมต่อเป็นเส้นประสาทใหญ่น้อยอีกนับล้านๆ เส้น แต่สมองซึ่งมีน้ำหนัก เพียงร้อยละ 2 ของน้ำหนักตัวทั้งหมดนั้นต้องใช้ออกซิเจนและสารอาหารถึงร้อยละ 70 ของปริมาณทั้งหมดที่ร่างกายได้รับ เนื่องจากสมองไม่สามารถเก็บตุนสารอาหาร ได้อย่างกล้ามเนื้อ จึงต้องอาศัยการไหลเวียนของเลือดมาหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา หากขาดแคลนเลือดแม้เพียง 4 นาที เซลล์สมองก็จะเริ่มตาย
สโตร๊คมี 2 แบบใหญ่ๆ คือ
1. สโตร๊คจากการขาดเลือด(Ischemic Stroke อ่านว่า อิ๊ส-คี-มิก-สโตร๊ค) ชนิดนี้มีจำนวนร้อยละ 80
ของสโตร๊คทั้งหมด เกิดจากการที่มีคราบไขมัน ไปพอกตามผนังเส้นเลือดเหมือนมีสันดอนหรือเขื่อนมาขวางกระแสน้ำจนไหลไม่สะดวก แล้วเลือดเริ่มจับเป็นก้อน ขวางกั้นกระแสเลือด หรือบางทีก้อนเลือดหลุดออก ไปอุดเส้นเลือดปลายทางที่มีขนาดเล็กลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นเลือดที่สมองใหญ่ (cerebrum) ซึ่งเป็นส่วนของสมองที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย การพูด และประสาทรับรู้ความรู้สึกต่างๆ สโตร๊คแบบนี้มีอัตราการตายร้อยละ 20 ในบางคน เมื่อสมองเกิดการขาดเลือดเพียงชั่วขณะ ร่างกายจะสามารถสั่งเอนไซม์มาย่อยสลายก้อนเลือดขนาดเล็กนั้น ทำให้อาการหายไปในไม่ช้า
ภาวะนี้คนไทยเรียกว่า " อัมพฤกษ์ "ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า TIA (ย่อจาก Transient Ischtmic Attack)
2. สโตร๊คจากภาวะเลือดออก(hemorrhagic stroke อ่านว่า ฮี-โม-รา-จิก-สโตร๊ค) เกิดจากการที่เส้นเลือดในสมองรั่ว หรือแตก ทำให้เลือดไหลออกมากดเนื้อสมอง บริเวณนั้นจนเซลล์สมองขาดเลือด หนึ่งในสาเหตุนี้มาจากเส้นเลือดในสมองที่โป่งพองนี้ว่า Aneurysm (อ่านว่า อ-นู-ริช-ซึ่ม) แต่สาเหตุที่พบส่วนใหญ่จะเป็นภาวะความดันโลหิตสูง ทำให้ผนังเส้นเลือด เผชิญกับแรงดันที่บับเลือดไหลมาชนสูงกว่าปกติจนแตกไปในที่สุด สโตร๊คแบบนี้มีเพียงร้อยละ 20 ของสโตร๊คทั้งหมด แต่ร้ายแรงกว่ามาก ทำให้ร้อยละ 50 ของคนที่เจอสโตร๊คแบบนี้เสียชีวิต
สโตร๊คป้องกันได้หรือไม่ ?
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดสโตร๊คบางอย่างปรับเปลี่ยนได้ แต่บางอย่างก็แก้ไขอะไรไม่ได้ที่ปรับเปลี่ยนได้ก็มี อาทิเช่น
1. ความดันโลหิตสูง เมื่อแรงดันซิสโตลิก (แรงดันบน) เกิน 140 มิลลิเมตรปรอท และแรงดันไดแอสโตสิก (แรงดันล่าง) เกิน 90 มิลลิเมตรปรอท วิธีแก้ไขคือ ปรับเปลี่ยนเรื่องอาหาร ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและลดน้ำหนัก ถ้ายังไม่ดีขึ้น หมอจึงสั่งยาลดความดันโลหิตให้ต่ำกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท
2. การสูบบุหรี่ นิโคตินจากบุหรี่ทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น โดยทำให้เส้นเลือดตีบลง และเพิ่มอัตราเร็วของการเต้นของหัวใจ เพิ่มแรงดันโลหิต
3. โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคกลุ่มนี้ส่วนใหญ่รักษาจนหัวใจเต้นดีขึ้นได้
4. คนที่เคยเป็นอัมพฤษ์ จะมีโอกาสเกิดสโตร๊คได้ง่ายขึ้น หมอมักจะสั่งจ่ายแอสไพริน หรือยาป้องกันเลือดคั่งแข็งตัวขนานอื่นๆ ให้รับประทานเพื่อเป็นการป้องกันไว้
5. เบาหวาน
6. ไขมันโคเลสเตอรอลในเลือดสูงเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไขมันตัวร้ายชื่อ DLD
การค้นหาสัญญาณเตือน
เมื่อทราบว่ามีปัจจัยเสี่ยง แล้วรีบแก้ไขจะช่วยทำให้โอกาสเกิด สโตร๊ค ลดลง เช่น การตรวจสุขภาพประจำปี จะช่วยให้หมอทราบว่าเรามีความดันโลหิตสูงหรือเปล่า เสียงหัวใจเต้นเป็นปกติหรือไม่ มีเสียงผิดปกติของเลือดไหลเวียนที่เส้นเลือดแดงใหญ่ บริเวณคอที่บ่งบอกเส้นเลือดตีบลงหรือไม่
ถ้าคุณหมอตรวจพบว่าเส้นเลือดแดงใหญ่ที่คอตีบลง แต่ไม่ถึงร้อยละ 70 ของขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของเส้นเลือด ก็จะจ่ายยาแอสไพรินปริมาณน้อยๆ เพื่อป้องกันเลือดจับเป็นลิ่ม หรืออาจจ่ายยาใหม่ชื่อ Ticiopidine (อ่านว่า ทิ-โคล-พิ-ดีน) ในรายที่ทานแอสไพรินไม่ได้ แต่ยาตัวนี้มีราคาแพง และบ่อยครั้งทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ ท้องเสีย หรือเกิดผื่นที่ผิวหนัง
ถ้าเส้นเลือดดังกล่าวตีบมากกว่าร้อยละ 70 หมออาจพิจารณาปรึกษาศัลยแพทย์หลอดเลือด ให้ช่วยผ่าตัดลอกคราบไขมันในเส้นเลือดได้ (Carotid Endarterectomy อ่านว่า คา-โร-ติด-เอ็น-ดา-เตอ-เร้ค-โต-มี่)
วิธีรักษาเมื่อเกิดสโตร๊คแล้ว
การวินิจฉัยแต่เนิ่นๆ เป็นเรื่องสำคัญ และต้องวินิจฉัยให้ได้ว่าเป็นสโตร๊คแบบไหน ถ้าเป็นแบบแรก (สโตร๊คจากการขาดเลือด) หมอก็จะให้ยาละลายลิ่มเลือด แต่ถ้าเป็นแบบที่ 2 (สโตร๊คจากภาวะเลือดออก) หากให้ยาละลายลิ่มเลือด ก็จะยิ่งเพิ่มภาวะเลือดออก และกลับเป็นอันตรายหนักขึ้น
เวลาที่หมอสงสัยว่าคนไข้จะเป็นสโตร๊ค จะใช้วิธีถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI = Magnetic Resonance Imaging) วิธีนี้จะเหมาะสำหรับสโตร๊คแบบแรก หรือใช้คอมพิวเตอร์เอกซเรย์ (CT) ซึ่งเหมาะสำหรับสโตร๊คแบบเลือดออก นอกจากนี้ ก็จะใช้การฉีดสีเข้าเส้นเลือดเพื่อถ่ายภาพเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง (Angio-graphy) ว่ามีเส้นเลือดโป่งพอง เส้นเลือดแตก หรืออุดตันตรงไหน
เมื่อวินิจฉัยแล้ว หลักการรักษาเบื้องต้นของสโตร๊คทั้ง 2 แบบ คือควบคุมแรงดันโลหิต ไว้ไม่ให้สูงเกินไป แต่ก็ไม่ให้ต่ำเกินไปด้วย ถ้าเป็นสโตร๊คแบบแรกก็ต้องป้องกัน การเกิดลิ่มเลือดใหม่ด้วยยา เช่น แอสไพรินหรือไทโคลปิดีน ถ้าเป็นแบบที่ 2 ต้องลดความดันในโพรงสมอง หรือถ้ามีเส้นเลือดโป่งพองก็ต้องผ่าตัดเข้าไปซ่อมแซม หรือวิธีใหม่ๆ คือ การสอดสายสวนโลหะเข้าไปในโพรงเส้นเลือดที่โป่งพอง เพื่อให้เกิดลิ่มเลือดไปอุดอย่างถาวร
ขณะนี้ นักวิจัยกำลังทดลองใช้ยาละลายลิ่มเลือด ถ้าหากตรวจพบสโตร๊คแบบแรก ได้ใน 3-6 ชั่วโมง หลังจากเกิดอาการเช่น ให้ยา tPA (tissue plasminogen activator) หรือ streptokinase หรือ urokinase หรือ prourokinase
อะไรจะเกิดขึ้นหลังสโตร๊ค ?
เนื่องจากสมองของคนเราแบ่งหน้าที่ออกเป็น 2 ซีก สโตร๊คมักจะเกิดเป็นบริเวณเล็กๆ ในซีกใดซีกหนึ่งของสมอง ซึ่งแต่ละซีกจะควบคุมการเคลื่อนไหวและรับรู้ความรู้สึก ของร่างกายฝั่งตรงข้าม เช่น สมองซีกซ้ายควบคุมร่างกายซีกขวา นอกจากนี้แต่ละซีก ยังมีหน้าที่พิเศษที่ต่างกัน เช่น ถ้าเกิดสโตร๊คที่สมองซีกซ้ายนอกจากร่างกายซีกขวา จะไม่ขยับแล้ว ยังอาจมีปัญหาพูดไม่ได้หรือไม่เข้าใจคำพูดของคนอื่น พฤติกรรมอาจเปลี่ยนไป
ใน 3 สัปดาห์แรกหลังจากเกิดสโตร๊ค อาการของคนไข้จะค่อยๆ ดีขึ้นทั้งการเคลื่อนไหว การพูดและการมองเห็น และจะค่อยๆ ดีขึ้นต่อไปใน 1-6 เดือน แต่หน้าที่บางอย่าง เช่น การพูด การทรงตัว และทักษะการใช้มือและแขนขา ยังต้องทำการภาพบำบัด เพื่อฝึกปรือต่อไปนานถึง 2 ปี
ประมาณครึ่งหนึ่งของคนไข้ที่เกิดสโตร๊คจะยังคงมีปัญหาด้านความสัมพันธ์ ของการทำงานของร่างกายส่วนต่างๆ การสื่อความ การตัดสินใจ หรือพฤติกรรม จนมีผลกระทบต่อการทำงานและการเข้าสังคม แต่จะมีเพียงร้อยละ 10 ที่ต้องพึ่งพา การดูแลใกล้ชิดเป็นระยะยาว เป้าหมายของการบำบัดจึงมุ่งที่จะให้สามารถใช้กำลังกาย และจิตใจให้ได้มากที่สุด แต่ขณะเดียวกันต้องปรับตัวให้รับรู้ ทำใจให้ได้ว่า ตนเองจะมีข้อจำกัดคือไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
การฟื้นสภาพจึงต้องอาศัยทีมงานทั้งกายภาพบำบัด อาชีวบำบัด และโอษฐบำบัด (speech therapy)
ความยากลำบากของทั้งญาติและผู้ใกล้ชิดของคนไข้คือผลตามมาของจิตใจและสังคม บางครอบครัวประสบปัญหาการปรับสภาพมีผลทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า และความรู้สึกโดดเดี่ยว เนื่องจากข้อจำกัดต่างๆ ทางกายภาพ และการสื่อสารหลังเกิดสโตร๊ค
ด้วยเหตุนี้สโตร๊คจึงเป็นโรคที่ท่านผู้อ่านต้องมุ่งป้องกัน เพราะบ่อยครั้ง อาจไม่มีสัญญาณเตือนภัยที่แรงพอ ต้องสนใจดูว่าแต่ละคนมีปัจจัยเสี่ยงหรือเปล่า ถ้ามีจะแก้ไขปรับเปลี่ยนได้ไหม ถ้าไม่ได้จะลดความรุนแรงของปัจจัยเสี่ยงอย่างไร
ฝึกการใช้ชีวิตที่ต้องด้วยสุขอนามัย ถ้าไม่อยากเกิด "สโตร๊ค "
สมาคมโรคหัวใจอเมริกันแนะนำว่า
อาการเตือนว่าสโตร๊คกำลังจะมา อาจประกอบด้วย
1. อยู่ดีๆ ก็รู้สึกชาและอ่อนกำลังทันทีที่ซีกใดซีกหนึ่งของใบหน้า แขน หรือขา
2. ตามัวหรือมองไม่เห็นขึ้นมาทันที
3. พูดไม่ได้หรือพูดไม่ค่อยออก หรือไม่เข้าใจคำพูดของคนอื่น
4. ปวดศีรษะขึ้นมาทันทีทันใดโดยไม่มีสาเหตุ
5. เวียนศีรษะอย่างบอกไม่ถูก ยืนไม่อยู่หรือล้มลง